วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ความดันโลหิตสูง วัยทอง และน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)

        น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว มีประโยชน์อย่างไร
1. ป้องกันวัยทอง ช่วยปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนในสตรีวัยทอง
2. ป้องกันสมอง สร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง
3. ป้องกันความเครียด ช่วยลดความเครียด ทำให้นอนหลับสบาย
4. ป้องกันโรคสมองเสื่อม  สร้างเสริมสร้างความทรงจำ

5. ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเสริมสร้างเซราไมน์ให้เพียงพอ
6. บำรุงผิวพรรณ  ลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Linoleic Acid (Omega 6), Squalene (Ceramide Group) เป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง และช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ดูขาวกระจ่างใส

7. ป้องกันโรคหัวใจ ลดสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
8. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นลดริ้วรอย ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด
9. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
10. ป้องกันโรคมะเร็ง ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง

11. ป้องกันโรคเบาหวาน ทำหน้าที่ในการจับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินคงตัวได้นาน เกาะตามเซลล์ต่างๆ ของกล้ามเนื้อ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
12. ช่วยลดระดับคอเรลเตอรอลในหลอดเลือด
13. เพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น
14. ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

15. ป้องกันโรคสายตา วิตามินเอ - เบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง
16. ช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL-Low Density Lipoprotein) 

17. ช่วยเพิ่มระดับของ HDL.(High Density Lipoprotein)


18. ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)



       น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
     
 
ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท
    อย. เลขที่ 12-1-13353-1-0083

ดูข้อมูลที่   http://buahealthcare.myreadyweb.com/

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่   http://ricebransaibua.blogspot.com


ความดันโลหิตสูง บำรุงสมองบำรุงประสาท และน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)


           น้ำมันรำข้าว คือ น้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันรำข้าวดิบที่สกัดจากรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี ในกลุ่มโทโคฟีรอล ประมาณ 19-40% และกลุ่มโทโคไตรอีนอล 51-81% และโอรีซานอล (Oryzanol) สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า มีกรดไขมันอิ่มตัว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid : PUFA) 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)

       อาหารเสริมน้ำมันรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี น้ำมันรำข้าวมีประโยชน์มาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (Seed Membrane Layer) และจมูกข้าว (Rice Germ) จึงอุดมด้วยสารสำคัญทางธรรมชาติ และมีประโยชน์และคุณค่าสูงต่อร่างกายหลายชนิด 

       ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณสูงสุดและขายดีที่สุด

     1.กลุ่มโรคมะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก แต่น่ายินดีที่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า หากได้รับสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันจมูกข้าวเข้มข้นถึง 5% ของกระแสเลือดในร่างกาย จะช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นโรคมะเร็ง แม้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้ว ก็ช่วยได้ถึง 62% เนื่องจากในน้ำมันจมูกข้าว มีสารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก

     2.การบำรุงสมองบำรุงประสาท น้ำมัน Linolic Acid ทำให้กล้ามเนื้อต่างๆ สามารถดูดซับกลูโคส และกรดอะมิโนได้มากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนสภาพฮอร์โมนโปรสตาแกลนดิน และทำให้เกิด Cyclic AMP มากขึ้นจึงทำให้สารอาหารที่เหลืออยู่ในเลือดที่เป็นกลุ่มโปรตีน ไทโรซีน พิลทิลออลานิล ทรีพโทเพน มากขึ้น โปรตีนกลุ่มดังกล่าวจะเป็นแหล่งพลังงานในการทำหน้าที่หลักของเซลล์สมอง และประสาท ที่จะช่วยซ่อมแซมสมอง และประสาทส่วนที่ชำรุด ระบบประสาทจะฟื้นตัวดีขึ้น

     3.กลุ่มโรคเบาหวาน น้ำมันรำข้าวสกัด มีธาตุโครเมียมที่ย่อยง่ายสูง 265x10-3 mg/100 gm โครเมียมที่ร่างกายดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะเกาะอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ของกล้ามเนื้อและทำหน้าที่ในการจับกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยให้ฮอร์โมนอินซูลินคงตัวได้นานขึ้น ซึ่งโดยปกติ ฮอร์โมนอินซูลินจะมีเสถียรภาพในการทำงาน (half-life) 5 นาที จึงช่วยทำให้การหลั่งกลูโคสลดลง ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำและการดูดซึมน้ำตาลของกล้ามเนื้อก็ต่ำลงด้วย

    4.กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง น้ำมัน Linoleic Acid จะเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นโปสตาแกลนดิน ซึ่งจะกลายเป็นฮอร์โมนที่ลดการบีบตัวของเส้นเลือด จะทำให้ลิ่มเลือดสลายตัว ทำให้การทำงานของหัวใจลดลง

    5.กลุ่มโรคความจำเสื่อม และโรคไหลตาย น้ำมันในส่วนฟอสฟอไลปิด และ ไกลโคไลปิด จะมีผลทำให้สมองและเซลล์สมองได้รับการซ่อมแซมในส่วนที่จุดเชื่อมต่อหลุด และบำรุงเซลล์ประสาทให้แข็งแรง

    6.บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใสและชะลอความแก่ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวมีวิตามินอีธรรมชาติในรูปแอลฟา-ทีโคฟีรอล (Tocopherol) จำนวนมาก และยังมีสารแกมม่า-ออไรซานอล ในปริมาณมากเช่นกัน ซึ่งสารทั้งสองเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นซ์ ช่วยป้องกันเนื้อเยื่อถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ รวมทั้งวิตามินบีคอมเพล็กซ์ โอเมก้า 6 และเซลาไมซ์ (Ceramide) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า สารอาหารดังกล่าว มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่ง ผ่องใสมีน้ำมีนวลอยู่เสมอ ทำให้แก่ช้า หรือ ชลอความแก่ ที่มีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นหายไป

ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว
1.ช่วยปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนในสตรีวัยทอง
2.สร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง
3.ช่วยลดความเครียด
4.สร้างเสริมสร้างความทรงจำ
5.ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเสริมสร้างเซราไมน์ให้เพียงพอ
6.ลดการเกิดฝ้ากระจุดด่างดำ
7.ลดสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
8.ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
9.ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
10ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง
11.ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
12.ช่วยลดระดับคอเรลเตอรอลในหลอดเลือด
13.เพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น
14.ช่วยป้องกันแสงยูวีได้
15.ลดอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง
   
     น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
ผลิตภัณฑ์ Ricebran and Germ Oil Plus กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท

ดูข้อมูลที่   http://ricebransaibua.blogspot.com

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น    โทร.088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://buahealthcare.myreadyweb.com/

ความดันโลหิตสูง วิตามินดี-3 (Vitamin D-3) และน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)

วิตามิน ดี3 (Vitamin D-3) ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว (Ricebran and Germ Oil Plus) 



      วิตามิน ดี3 (Vitamin D-3)  เป็นทั้งฮอร์โมนและวิตามินที่มีผลกระทบต่อร่างกายของเรา ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นวิตามิน เมื่อจับกับแคลเซียมในการดูดซึมที่เหมาะสม วิตามิน ดี3 จำเป็นสำหรับสุขภาพของกระดูกและฟัน และนักวิทยาศาสตร์พบว่า วิตามิน ดี3 มีส่วนสำคัญในการทำงานของร่างกาย

ประโยชน์ของวิตามิน ดี3 

   วิตามิน ดี3  ป้องกันโรคและสุขภาพ หากขาดวิตามิน ดี3 จะทำให้เกิดโรค ดังนี้
1.ความอ้วน
2.โรคเบาหวานประเภทสอง
3.ความดันเลือดสูง




4.โรคสะเก็ดเงิน
5.อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง
6.นิ่วในไต
7.โรคกระดูกพรุน

8.โรคที่เกิดจากประสาทเสื่อม
9.โรคมะเร็ง ทั้งโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่

10. ควบคุมระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อ 
11. เพิ่มการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ
12. ป้องกันสมองต่อสารเคมีที่เป็นพิษ

     ทำไมต้องเป็นวิตามิน ดี3   
1. วิตามิน ดี3 ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง 
2. ร่างกายต้องการวิตามิน ดี3 เพื่อช่วยดูดซับและการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งแคลเซียม ช่วยการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ 
      ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การรับประทานวิตามิน ดี3 ร่วมกับแคลเซียมและสารอาหารอื่น ๆ ช่วยให้มั่นใจว่าคุณยังคงรักษาความหนาแน่นของกระดูกที่เพียงพอที่จะลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน



      วิตามิน ดี3  0.20 มก. มีอยู่ใน ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว (Ricebran and Germ Oil Plus)




ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว (Ricebran and Germ Oil Plus) กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท

ดูข้อมูลที่   http://buahealthcare.myreadyweb.com/

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น  

โทร.088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com  

 ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่  http://ricebransaibua.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ความดันโลหิตสูง วิตามินอี และน้ำมันรำข้าวจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)


                ประโยชน์ของวิตามินอี ( Vitamin E )                   
     วงการด้านสุขภาพและความงามได้นำวิตามินอีมาใช้แพร่หลาย ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญีมักจะมีวิตามินอีเป็นส่วนประกอบหลัก ถือได้ว่าวิตามินอีนั้นมีส่วนช่วยให้ใบหน้าของเราเปล่งปลั่งขึ้นผิวเนียนขาวขึ้นได้ และยังช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย


      วิตามินอีมีคุณสมบัติบางอย่างที่ตรงข้ามกับวิตามินเค ซึ่งวิตามินอีเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย ขณะที่ วิตามินเคช่วยในการทำให้เลือดแข็งตัวเฉพาะตอนที่มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเลือดเกิดการแข็งตัวภายในร่างกายสิ่งที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง ฉะนั้นเราจึงมีวิตามินอีเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย และยังสามารถทานอาหารที่มีวิตามินอีได้ไม่ยากเพราะวิตามินอีมีอยู่ในผัก ผลไม้ต่างๆ ที่รู้จักกันดี


       วิตามินอีจะต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด ถ้าหากเรากินวิตามินอีก่อนผ่าตัดจะทำให้เลือดของเราไหลไม่หยุด ในกรณีที่มีการผ่าตัดนั้นเราไม่ควรกินวิตามินอีรวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินอีในปริมาณมาก
      กรณีของผู้ที่ขาดวิตามินตัวนี้และอยากหาอาหารเสริมทีมีวิตามินอี ขอแนะนำให้เปลี่ยนแนวทางเป็นการทานอาหารสลับกับพืชผัก หรืออาหารที่มีวิตามินอีแทนการทานอาหารเสริม เพราะหากกินวิตามินอีมากเกินไป จะทำให้เกิดสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งไม่ดีต่อร่างกายของเรา ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเสื่อมเร็วขึ้นและมีผลการวิจัยมาแล้วว่าการได้รับวิตามินอีมากเกินไปติดต่อกันอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้


วิตามินอี (Vitamin E) มีประโยชน์ที่โดดเด่น อย่างไร
1. ช่วยปกป้องและต่อต้านอนุมูลอิสระ
2. ช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีและแลดูอ่อนเยาว์
3. ช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย
4. ช่วยลดเลือนแผลเป็น ฝ้า กระและจุดด่างดำ ให้จางลง
5. ช่วยลดอาการวัยทองในสตรีสูงวัย
6. ช่วยบำรุงหลอดเลือดและรักษาสุขภาพหัวใจ
7. ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินเอ


       รับประทานวิตามินอี ให้ได้เคุณค่าสูงสุด

  1. ขนาดแนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 8-10 IU
  2. ปริมาณร้อยละ 60-70 ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันจะถูกขับออกทางอุจจาระ
  3. อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของธาตุซีลีเนียม 25 mcg. ต่อวิตามินอี 200 IU จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินอีได้เป็นอย่างดี
  4. ค่า IU ที่ระบุไว้ในฉลากอาหารเสริมของวิตามินอี เป็นค่าของ แอลฟาโทโคฟีรอล ส่วนโทโคฟีรอลตัวอื่นและโทโคไทรอีนอลนั้น ถือได้ว่ามีค่าเป็น 0 IU
  5. ปริมาณ IU บนฉลากอาหารเสริม ไม่ได้เป็นการระบุว่าวิตามินอีนั้นมีเพียงแอลฟาโทโคฟีรอลเพียงตัวเดียว หรือมีโทโคฟีรอลตัวอื่นและโทโคไทรอีนอลรวมอยู่ด้วยหรือไม่
  6. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินอีวางจำหน่ายทั้งแบบชนิดเป็นน้ำมัน แคปซูล แบบเม็ดละลายน้ำได้

      วิตามิน อี  3.83 มก. มีอยู่ใน ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)

ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://buahealthcare.myreadyweb.com/

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น

 โทร.088 415 3926

ID Line : bia300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่  http://ricebransaibua.blogspot.com

ความดันโลหิตสูง ไขมันเลว และน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)



ลดไขมันเลว ด้วยน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส 
     คอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low Density Lipoprotein: LDL)หรือ ไขมันเลว คอเลสเตอรอลในร่างกาย ประกอบขึ้นจากไขมันหลายชนิด ได้แก่ แอลดีแอล. (LDL), เอ็ชดีแอล ( HDL), ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride: Tg) โดยสัดส่วนของไขมันต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นคอเลสเตอรอลรวม คือโคเลสเตอรอลรวม = LDL + HDL + (ไตรกลีเซอไรด์ / 5)


ทำไมจึงว่า LDL เป็นไขมันเลว
      ระดับ LDL ในเลือด มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมัน LDL ทำหน้าที่เป็นตัวนำโคเลสเตอรอลทั้งหลายออกจากตับเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อเซลล์เลือกใช้โคเลสเตอรอลที่ต้องการไปแล้ว โคเลสเตอรอลที่เหลืออยู่ในกระแสเลือดก็จะพอกเป็นตุ่มอยู่ที่ผนังของหลอด เลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง ตีบ นานไปตุ่มเหล่านี้ปริแตกออกทำให้มีลิ่มเลือดเข้ามาผสมโรงพอกจนอุดตันหลอด เลือด ผลตามมาคืออวัยวะสำคัญที่ต้องอาศัยเลือดจากหลอดเลือดเช่นหัวใจ สมอง ไต เกิดขาดเลือดไปเลี้ยง กลายเป็นโรค เช่น หัวใจขาดเลือด อัมพาตอัมพฤกษ์ ความดันเลือดสูง ไตวาย


  ไขมันเลว  (LDL) มาจากไหน
       อาหารที่เพิ่มไขมันเลว (LDL)  มี สองกลุ่ม คือ อาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว (saturated fat) หมายถึง ไขมันจาก เนื้อสัตว์ต่างๆ ยกเว้นเนื้อปลา ไข่ นมโฮลมิลค์ เนย ชีส ไอศกรีม เค้ก คุ้กกี้ น้ำสลัดสำเร็จรูป พืชสกุลปาลม์เช่น น้ำมันปาลม์ น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น การเป็นไขมันอิ่มตัว เป็นคนละประเด็นกับการเป็นโคเลสเตอรอลหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นน้ำมันปาลม์ น้ำมันมะพร้าว ไม่ใช่โคเลสเตอรอล และไม่มีส่วนประกอบที่เป็นโคเลสเตอรอล เพราะพืชทุกชนิดไม่มีโคเลสเตอรอล แต่น้ำมันปาลม์และน้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัว เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วก็มีผลเพิ่มไขมันเลว (LDL) ในเลือดเช่นเดียวกับไขมันอิ่มตัวจาก เนื้อ หมู ไก่ เช่นกัน เนื่องจากไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย กฎหมายจึงบังคับให้ฉลากอาหารบอกว่ามีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหาร นั้นเท่าไร


       อาหารจำพวกไขมันทรานส์ (trans fat) เป็นไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fat) เป็นไขมันชนิดหนึ่งโดยทั่วไป ไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันมะกอก เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในอุตสาหกรรมอาหารบางอย่างได้มีการเปลี่ยนเอาไขมันไม่อิ่มทั่วไปให้กลาย เป็นไขมันทรานส์ เพื่อให้มีคุณสมบัติแข็งเป็นไข จะได้เอาไปทำเนยเทียมหรือเอาไปเคลือบอาหารสำเร็จรูปได้ง่ายขึ้น อาหารที่มีไขมันทรานส์มาก ได้แก่ ขนมอบ หรือเบเกอรีที่มีมาการีนเป็นส่วนประกอบ ครีมเทียม คอฟฟี่เมท อาหารอบ อาหารทอด ขนมกรุบกรอบต่างๆ เป็นต้นปัจจุบันนี้ในยุโรปและอเมริการมีกฎหมายบังคับให้บอกที่ฉลากว่าอาหารนั้นมีไข มันทรานส์อยู่เท่าใด แต่เมืองไทยยังไม่มีกฎหมายนี้ กฎหมายไทยบังคับให้บอกเฉพาะไขมันอิ่มตัว ดังนั้นเมื่ออ่านฉลากอาหารที่มีไขมันทรานส์จะไม่เจอคำเตือนใดๆเพราะไขมัน ทรานส์มาจากไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันทรานส์นี้ เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะไปทำให้โคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในร่างกายสูงขึ้น และไปทำให้ไขมันชนิดดีในร่างกาย (HDL) ต่ำลง จึงจัดเป็นไขมันที่มีผลเสียต่อร่างกายสองเด้งเลยทีเดียว
 
  น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส ลดคอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low Density Lipoprotein: LDL )  หรือไขมันเลว

      น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ทำให้ ได้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้


       ผลิตภัณฑ์ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)  กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท
    อย. เลขที่ 12-1-13353-1-0083

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่    http://buahealthcare.myreadyweb.com/

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น  

โทร. 088 415 3916

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่   http://ricebransaibua.blogspot.com

ความดันโลหิตสูง วิตามินอี แลน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus)


ความสำคัญของวิตามินอี 
        ร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามิน อี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นประจำทุกวัน วิตามิน อีเป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (Alpha-Tocopherol) ในปัจจุบันพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูป เม็ดยาและยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ อีกด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย

วิตามินอี มีประโยชน์อย่างไร
1. วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (Potent Antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ จึงช่วยชะลอความแก่ได้
2. ช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (Stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี
3. วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (Nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไป ภายในกระเพาะอาหาร จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการ เจริญของเซลล์มะเร็งได้


4. วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือด ที่จะมีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (Platelet Aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%

5. วิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง
6. ผลการวิจัยสถาบันโรคผิวหนังหลายแห่ง พบว่า วิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้ เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์


ปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ ปริมาณเท่าไร?
        ร่างกายต้องการวิตามินอีในปริมาณน้อยมาก อยู่ที่วันละ 10-15 IU  แต่ก็ขาดไม่ได้ หากขาดวิตามินอีจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางตรงข้าม หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง และยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ การได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ วิตามินอีสามารถสะสมได้ในเนื้อเยื่อไขมัน ในคนทั่วไปจึงไม่ค่อยพบอาการขาดวิตามินชนิดนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการวิตามินอีเพิ่มขึ้นเพื่อการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ หรือผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร ก็อาจเลือกรับประทานวิตามินเสริมที่มีขายอยู่ทั่วไป แต่ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณที่เหมาะสมก่อน ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน


น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวพลัส (Ricebran and Germ Oil Plus) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีที่สุดให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูล ราคา 1,260 บาท
    อย. เลขที่ 12-1-13353-1-0083


ดูข้อมูลที่   http://buahealthcare.myreadyweb.com/

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น
   
 โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com      

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่  http://ricebransaibua.blogspot.com